บทที่ 4 พลังงานนิวเคลียร์
พลังงานนิวเคลียร์

ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดใหญ่ในธรรมชาติ
ที่ให้พลังงานแก่โลกของเรา นอกจากนี้มนุษย์ยังสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า และใช้ประโยชน์จากกัมมันตภาพรังสี
ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรม เป็นต้น
4.1
การค้นพบกัมมันตภาพรังสี
เบคเคอเรล (Henri Becquerel) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส
เป็นผู้ค้นพบกัมมันตภาพรังสีในสารประกอบยูเรเนียม เรียกว่า รังสียูเรนิก
ในขณะที่ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับรังสีเอกซ์
กัมมันตภาพรังสีมีสมบัติแตกต่างจากรังสีเอกซ์ คือ มีความเข้มน้อยกว่ารังสีเอกซ์ การแผ่รังสีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive Elements) หมายถึง
ธาตุที่มีในธรรมชาติที่แผ่รังสีออกมาได้เอง
กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เป็นปรากฎการณ์อย่างหนึ่งของสารที่มีสมบัติในการแผ่รังสีออกมาได้เอง
กัมมันตภาพรังสี ที่แผ่ออกมามีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ รังสีแอลฟา รังสีเบตา
และรังสีแกมมา
โดยเมื่อนำสารกัมมันตรังสีใส่ลงในตะกั่วที่เจาะรูเอาไว้ให้รังสีออกทางช่องทางเดียวไป
ผ่านสนามไฟฟ้า พบว่ารังสีหนึ่งจะเบนเข้าหาขั้วบวกคือรังสีเบตา อีกรังสีหนึ่งเบนเข้าหาขั้วลบคือรังสีแอลฟาหรืออนุภาคแอลฟา
ส่วนอีกรังสีหนึ่งเป็นกลางทางไฟฟ้าจึงไม่ถูกดูดหรือผลักด้วยอำนาจแม่เหล็กหรืออำนาจนำไฟฟ้า
ให้ชื่อรังสีนี้ว่า รังสีแกมมา ดังรูป

การเกิดกัมมันตภาพรังสี
1. เกิดจากนิวเคลียสในภาวะพื้นฐาน
รับพลังจำนวนมากทำให้นิวเคลียสกระโดดไปสู่ระดับพลังงานที่สูงขึ้น
ก่อนกลับสู่ภาวะพื้นฐานนิวเคลียร์จะคลายพลังงานออกมาในรูป “ โฟตอนที่มีพลังงานสูง
“ ย่านความถี่รังสีแกมมา
2. เกิดจากการที่นิวเคลียร์บางอัน
อยู่ในสภาพไม่เสถียร คือมีอนุภาคบางอนุภาคมากหรือน้อยเกินไป ลักษณะนี้นิวเคลียร์จะปรับตัว
คายอนุภาคเบตาหรือแอลฟาออกมา
สัญลักษณ์นิวเคลียร์ (nuclear symbol) เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงจำนวนอนุภาคมูลฐานของอะตอมด้วยเลขมวลและเลขอะตอม
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ดังนี้

โดยที่
X คือ สัญลักษณ์ธาตุ
Z คือ
เลขอะตอม (atomic number) เป็นจำนวนโปรตอนในนิวเคลียส
A คือ
เลขมวล (mass number) เป็นผลบวกของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอน
4.2
ไอโซโทป
ไอโซโทป (Isotope) หมายถึง
อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันที่มีโปรตอนเท่ากัน (หรืออิเล็กตรอนเท่ากัน )
แต่มีเลขมวลและจำนวนนิวตรอนต่างกัน (หรือมีมวลต่างกัน)
อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากัน
แต่จำนวนนิวตรอนอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ ซึ่งมีผลทำให้มวลต่างกัน
อะตอมของธาตุดังกล่าวเรียกว่าเป็นไอโซโทป เช่น 12C,
13C และ 14C เป็นไอโซโทปกัน (เลขอะตอม C = 6 )

ไอโซโทปของธาตุบางชนิดอาจจะมีชื่อเรียกโดยเฉพาะ
เช่น ธาตุไฮโดรเจนมี 3
ไอโซโทป และมีชื่อเฉพาะดังนี้
11H เรียกว่า โปรเตรียม ใช้สัญลักษณ์ H
21H เรียกว่า ดิวทีเรียม ใช้สัญลักษณ์ D
31H เรียกว่า ตริเตรียม ใช้สัญลักษณ์ T
4.3 กัมมันตภาพรังสี
เมื่อจำนวนนิวตรอนเพิ่มขึ้น จะทำให้นิวเคลียสไม่เสถียร
และเกิดการเสื่อมสลายโดยตัวเอง หรือเกิดกัมมันตภาพรังสี
และเรียกไอโซโทปของธาตุที่เกิดกัมมันตภาพรังสีนั้นว่า
ไอโซโทปกัมมันตรังสี (radioactive
isotope)
ในช่วงปี พ.ศ. 2442-2443 เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest
Rutherford) และปอล วียาร์ (Paul Villard) ได้จำแนกอนุภาคและรังสีที่ได้จากการเกิดกัมมันตภาพรังสีเป็น
3 ชนิด ตามลักษณะการเบี่ยงเบน เมื่อปล่อยอนุภาคและรังสีให้เคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก
พบว่าลำของอนุภาคและรังสี เกิดการเบี่ยงเบนออกไปทั้ง 2
ข้าง และบางส่วนำม่เกิดการเบี่ยงเบน จึงสามารถจำแนกอนุภาคและรังสีได้เป็น 3
ชนิด ได้แก่
อนุภาคแอลฟา (alpha particle) อนุภาคบีตา
(beta particle) และรังสีแกมมา (gamma ray) โดยลำของอนุภาคแอลฟา
และอนุภาคบีตาจะเบี่ยงเบนออกไปจากแนวเดิม แต่มีทิศทางตรงข้ามกัน
แสดงให้เห็นว่าอนุภาคทั้ง 2 มีประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน
ส่วนรังสีแกมมาไม่มีการเบี่ยงเบน แสดงว่ารังสีแกมมาเป็นกลางทางไฟฟ้า
การสลายให้อนุภาคแอลฟา
(อังกฤษ: Alpha decay) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีซึ่งนิวเคลียสอะตอมจะปลดปล่อยอนุภาคแอลฟาออกมา
ดังนั้นจึงเปลี่ยนสภาพ (หรือ 'สลาย') อะตอมโดยสูญเสียเลขมวล
4 และเลขอะตอม 2
เช่น:


อนุภาคแอลฟาคล้ายกับนิวเคลียสฮีเลียม-4
ที่มีเลขมวลและเลขอะตอมเท่ากัน
การสลายให้อนุภาคแอลฟาเหมือนกับการสลายให้กลุ่มอนุภาคอื่นๆเป็นกระบวนการ
quantum tunneling พื้นฐาน
การสลายให้อนุภาคแอลฟาไม่เหมือนกับการสลายให้อนุภาคบีตา
การสลายให้อนุภาคแอลฟาถูกควบคุมโดยปฏิกิริยาต่อกันและกันระหว่างแรงนิวเคลียร์และแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
การสลายให้อนุภาคแอลฟาเป็นรูปแบบของการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีพบในนิวไคลด์ที่มีน้ำหนักมากเท่านั้น
ตัวปลดปล่อยอนุภาคแอลฟาที่เบาที่สุดคือไอโซโทปที่เบาที่สุด (เลขมวล 106–110)
ของเทลลูเรียม (ธาตุที่ 52)
เพราะมวลขนาดใหญ่ มีประจุไฟฟ้า +2
และอัตราความเร็วต่ำ เมื่อเทียบกับอนุภาคอื่นๆ
อนุภาคแอลฟามักจะมีปฏิกิริยากับอะตอมอื่นๆและสูญเสียพลังงานของมันไป
ดังนั้นการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของมันจะถูกหยุดในสองถึงสามเซนติเมตรของบรรยากาศของโลก
ฮีเลียมส่วนมากบนโลก (ประมาณ 99%) เป็นผลมาจากการสลายให้อนุภาคแอลฟาของแร่ที่ทับถมกันอยู่ใต้ดิน
แร่ที่ประกอบไปด้วยยูเรเนียมหรือทอเรียม
ฮีเลียมถูกนำขึ้นสู่ผิวโลกโดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหลือของการผลิตก๊าซธรรมชาติ
การสลายให้อนุภาคบีตา
ในฟิสิกส์นิวเคลียร์, การสลายให้อนุภาคบีตา
(อังกฤษ: beta decay) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีที่อนุภาคบีตา(อิเล็กตรอนหรือโพซิตรอน)
ถูกปลดปล่อยออกมา ในกรณีปลดปล่อยอิเล็กตรอน จะเป็น บีตาลบ ({\beta}^-) ขณะที่ในกรณีปลดปล่อยโพซิตรอนจะเป็นบีตาบวก
({\beta}^+) พลังงานจลน์ของอนุภาคบีตามีพิสัยสเปกตรัมต่อเนื่องจาก
0 ถึงค่าสูงสุดที่จะเป็นไป (Q) ซึ่งขึ้นกับสภาวะนิวเคลียร์ของต้นกำเนิดและลูกที่เกี่ยวข้องกับการสลาย
โดยทั่วไป Q มีค่าประมาณ 1 MeV แต่สามารถมีพิสัยจากสองสาม
keV ไปจนถึง สิบ MeV อนุภาคบีตากระตุ้นส่วนใหญ่มีความเร็วสูงมากเป็นซึ่งมีความเร็วใกล้เคียงอัตราเร็วของแสง

การสลายให้อนุภาคแกมมา
เกิดจากการที่นิวเคลียสมีพลังงานสูงและปรับให้กลับสู่สภาวะพลังงานต่ำด้วยการปล่อยโฟตอนออกมา
ซึ่งจำนวนโปรตอนและนิวตอนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังการสลายตัว
การสลายตัวให้รังสีแกมมาอาจเกิดจาก Isomeric Transition (IT) ที่เมื่อนิวเคลียสอยู่ในสภาวะ
excited state เป็นเวลาค่อนข้างนาน หรืออยู่ในสภาวะ metastable
state จะปรับตัวให้เสถียรโดยให้รังสีแกมมาออกมาหรือ Internal
Conversion electrons ซึ่งตรงข้ามกับการสลายตัวให้รังสีแกมมาที่ปกติจะได้จากสารกัมมันตรังสีที่มีสภาวะ
excited state เป็นเวลาค่อนข้างสั้น
metastable state หรือเขียนด้วยตัว
"m" จะเป็นสภาวะที่การสลายตัวให้รังสีแกมมานานกว่า 1
ns เช่น 99mTc ดังแสดงในรูป


ผังการสลายตัวของ99m Tc ให้รังสีแกมมา
4.4 ครึ่งชีวิต
ครึ่งชีวิตของธาตุ (half life) หมายถึง
ระยะเวลาที่สารสลายตัวไปจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิมใช้สัญลักษณ์เป็น t1/2
นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่ไม่เสถียร
จะสลายตัวและแผ่รังสีได้เองตลอดเวลาโดยไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิหรือความดัน
อัตราการสลายตัว เป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนอนุภาคในธาตุกัมมันตรังสีนั้น
ปริมาณการสลายตัวจะบอกเป็นครึ่งชีวิตเป็นสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละไอโซโทป
ตัวอย่างเช่น C-14
มีครึ่งชีวิต 5730 ปี หมายความว่า ถ้ามี C-14 1
กรัม เมื่อเวลาผ่านไป 5730 ปี จะเหลือ C-14
อยู่ 0.5 กรัม และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 5730 ปี
จะเหลืออยู่ 0.25 กรัม เป็นดังนี้ไปเรื่อยๆ กล่าวได้ว่าทุกๆ 5730 ปี
จะเหลือ C-14เพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม

4.5 ปฏิกิริยานิวเคลียร์
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ คือ
กระบวนการที่นิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบซึ่งเกิดจากการยิงด้วยนิวคลีออน
หรือกลุ่มนิวคลีออน หรือรังสีแกมมา
แล้วทำให้มีนิวคลีออนเพิ่มเข้าไปในนิวเคลียสหรือออกไปจากนิวเคลียสหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงจัดตัวใหม่ภายในนิวเคลียส
สามารถเขียนสมการของปฏิกิริยาได้ดังนี้

โดยที่ X เป็นนิวเคลียสที่เป็นเป้า , คืออนุภาคที่วิ่งเข้าชนเป้า , คืออนุภาคที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากการชน
และ Y คือนิวเคลียสของธาตุใหม่หลังจากการชน
เช่น
แสดงถึงว่า
เป็นนิวเคลียสเป้าหมายที่ถูกยิง
เป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่ที่เกิดขึ้น
คือนิวตรอนเป็นอนุภาคที่ใช้ในการยิง และ เป็นรังสีที่เกิดขึ้นใหม่ เป็นต้น
นิวเคลียร์ฟิชชัน
ปฏิกิริยาฟิชชัน (Nuclear Fission) คือ
ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เป็นผลจากการแตกตัวของนิวเคลียสของธาตุหนัก
โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการยิง นิวตรอนไปยังนิวเคลียสของอะตอมหนัก
แล้วทำให้นิวเคลียสแตกออกเป็น 2 ส่วนเกือบเท่ากัน
ในปฏิกิริยานี้มวลของนิวเคลียสบางส่วนจะหายไป กลายเป็นพลังงานออกมา
และเกิดนิวตรอนใหม่อีก 2 หรือ 3 ตัว
ซึ่งวิ่งเร็วมากพอที่จะไปยิงนิวเคลียสของอะตอมอื่นต่อไปทำให้เกิดปฏิริยาต่อเนื่องเรื่อยไป
เรียกว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction)

ปฏิกิริยาฟิวชัน
ปฏิกิริยาฟิวชัน (Nuclear fusion) คือ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียสของธาตุเบาหลอมรวมกันเข้าเป็นนิวเคลียสที่หนักกว่า
และมีการปล่อยพลังงานนิวเคลียร์ออกมา (พลังงานเกิดขึ้นจากมวลส่วนหนึ่งหายไป)
พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันมีค่ามากกว่าพลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน
เมื่อเปรียบเทียบจากมวลส่วนที่เข้าทำปฏิกิริยา ปฏิกิริยาฟิวชันที่รู้จักกันในนาม
ลูกระเบิดไฮโดรเจน (Hydrogen bomb) เชื่อกันว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันคือ
นิวเคลียสของไฮโดรเจน 4 ตัวหลอมรวมกันได้นิวเคลียสของฮีเลียม
อนุภาคโพสิตรอน มีมวลส่วนหนึ่งหายไป มวลส่วนที่หายไปเปลี่ยนไปเป็นพลังงานจำนวนมหาศาล

4.6
การประยุกต์ใช้พลังงานนิวเคลียร์และกัมมันตภาพรังสีด้านการแพทย์
การนำรังสี หรือสารกัมมันตรังสีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์นั้น
เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ได้มีการคิดค้น และปรับปรุงขึ้น
เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถดำเนินการวินิจฉัย และรักษาโรคได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว
และดียิ่งขึ้น ประโยชน์จากรังสีในทางการแพทย์มีหลายด้าน ดังต่อไปนี้

ภาพเอกซเรย์กระดูกด้วยเทคนีเชียม-๙๙ เอ็ม
เอ็มดีพี แสดงการแพร่กระจายของมะเร็งมาที่กระดูก
ด้านการตรวจและวินิจฉัยโรค (Diagnosis)
ก. การถ่่ายเอกซเรย์
เพื่อตรวจความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย เช่น
ฟัน ปอด กระดูก
ข. การตรวจการทำงานของระบบอวัยวะ
โดยให้ผู้ป่วยรับประทาน
หรือฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าไปในร่างกาย แล้วทำการถ่ายภาพอวัยวะ
จะช่วยให้แพทย์ทราบถึงบริเวณที่แน่นอนของอวัยวะที่สูญเสียหน้าที่ไป
สารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้ ได้แก่
แกลเลียม-๖๗ (Gallium-67) ใช้ตรวจการอักเสบต่างๆ
การเป็นหนอง เช่น ในช่องท้อง และใช้ตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
คริปทอน-๘๑ เอ็ม (Krypton-81 m) ใช้ตรวจการทำงานของหัวใจ
เทคนีเชียม-๙๙ เอ็ม (Technetium-99 m) ใช้ตรวจการทำงานระบบต่างๆ
เช่น ไทรอยด์ กระดูก สมอง ปอด ตับ ม้าม ไต และหัวใจ
อินเดียม-๑๑๑ (Indium-111) ใช้ติดตามเม็ดเลือดขาวเพื่อตรวจหาบริเวณอักเสบ
ของร่างกาย ตรวจการอุดตันของไขสันหลัง ตรวจมะเร็งเต้านม รังไข่ และลำไส้
ไอโอดีน-๑๓๑ (Iodine-131) ใช้ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์
ทอง-๑๙๕ (Gold-195) ใช้ตรวจการไหลเวียนของโลหิต
แทลเลียม-๒๐๑ (Thallium-201) ใช้ตรวจสภาพหัวใจเมื่อทำงานเต็มที่
ตรวจสภาพการไหลของโลหิตเลี้ยงหัวใจ และตรวจสภาพกล้ามเนื้อหัวใจ
4.7 การวัดปริมาณกัมมันตภาพรังสี
หน่วยทางรังสี
หน่วย
คือ ชื่อเฉพาะที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้บอกขนาดและปริมาณของสิ่งต่างๆ
หน่วยของรังสีและกัมมันตภาพรังสี มีดังต่อไปนี้

ปริมาณรังสีที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย

มิลลิซีเวิร์ต (Millisievert: mSv)
เป็นหน่วยวัดปริมาณรังสีที่ร่างกายได้รับ ยกตัวอย่าง เช่น โดยปกติใน 1 ปี
แต่ละคนจะได้รับรังสีจากธรรมชาติประมาณ 2.23
มิลลิซีเวิร์ต ดังนี้

เครื่องวัดกัมมันตภาพรังสี

ไกเกอร์ - มูลเลอร์ (Geiger Muller Counter) ทำงานโดยให้รังสีเข้าไปทำให้แก๊สในเครื่องวัดรังสีแตกตัวเป็นไอออน
ซึ่งอัตราการแตกตัวเป็นไอออนที่วัดได้จะแปรผันตรงกับกัมมันตภาพรังสีของธาตุในขณะนั้น
4.8 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแบบหนึ่งที่ใช้แหล่งพลังงานความร้อนจากเครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไอน้ำแรงดันสูงจ่ายให้กับกังหันไอน้ำ
กังหันไอน้ำจะไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าออกมา
โดยเครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้ในการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบวิจัย (อังกฤษ: Research Reactor) ที่ใช้ประโยชน์จากนิวตรอนฟลักซ์ในการวิจัย
และระบายความร้อนที่เกิดขึ้นออกสู่ชั้นบรรยากาศ และเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลัง
(อังกฤษ: Power Reactor) ที่ใช้พลังความร้อนที่เกิดขึ้นเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า
ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลัง
มีขนาดใหญ่โตกว่าเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเป็นอย่างมาก
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นโรงไฟฟ้าชนิด Baseload
คือผลิตพลังงานคงที่ โดยไม่ขึ้นกับกำลังงานที่ต้องการใช้จริง
เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงมีราคาถูกเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในการผลิต
(ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่ใช้การต้มน้ำด้วยแหล่งพลังงานอื่น
สามารถลดการจ่ายไฟลงครึ่งหนึ่งได้เวลากลางคืนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง)
กำลังไฟที่หน่วยผลิตจ่ายได้นั้นอาจมีตั้งแต่ 40
เมกะวัตต์ จนถึงเกือบ 2000 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันหน่วยผลิตที่สร้างกันมีขอบเขตอยู่ที่
600-1200 เมกะวัตต์


หาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ ↓↓